cr:https://www.youtube.com/watch?v=qWWZ77-1YuA
บัตรเครดิต (Credit Card) เป็นบัตรประเภทที่เปิดโอกาสให้ผู้ถือบัตรสามารถชำระค่าสินค้าและบริการได้ โดยไม่ต้องจ่ายเป็นเงินสดในทันที และจ่ายเงินภายหลังในกำหนดระยะเวลาและรูปแบบที่มีการตกลงกันในสัญญาเอาไว้ โดยมีวงเงินส่วนบุคคลที่แต่ละคนจะสามารถใช้จ่ายได้ในแต่ละเดือนกำหนดอยู่ ซึ่งปัจจุบันมีบริการเสริมและกลยุทธที่หลากหลายเพื่อดึงดูดให้ลูกค้าใช้บัตร ของตน อาทิเช่น การแบ่งระดับและสิทธิการใช้บัตร การสะสมแต้มเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตร การสะสมไมล์เพื่อใช้ในการเดินทางด้วยเครื่องบิน การแลกสิทธิพิเศษและส่วนลดต่าง ๆ เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรตามช่วงระยะเวลาและร้านค้าต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งบัตรเครดิตมีวิวัฒนาการดังต่อไปนี้
ยุคก่อนมีบัตรเครดิตเกิดขึ้น (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18)บรรพบุรุษของบัตรเครดิตเกิดขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งลูกค้าและผู้ค้าเริ่มใช้สิ่งที่คล้ายคลึงกับหน้าที่ของบัตรเครดิตใน ปัจจุบัน ได้แก่ Charge Plates ซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นโลหะทำมาจากอลูมิเนียมหรือโลหะขาว มีขนาดเท่า Dogtag ของทหาร โดยข้างหน้าจะมีการปั๊มชื่อลูกค้าและที่อยู่ ส่วนข้างในจะมีกระดาษแข็งสอดอยู่ โดยมีชื่อผู้ออกแผ่นเครดิตและลายเซ้นของผู้ถือแผ่นดังกล่าว ผู้ที่ออกบัตรส่วนใหญ่จะเป็นห้างสรรพสินค้า ร้านค้า และบริษัทน้ำมัน โดยบางครั้งผู้จัดการจะเก็บแผ่นดังกล่าวไว้ในร้านค้าและนำออกมาเมื่อจะมาใช้ โดย Charge Plate ได้รับความนิยมอย่างสูงในช่วงทศวรรษที่ 1920 พร้อมกับการมีรถยนต์ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้เดินทาง โดยที่ไม่จำเป็นต้องเตรียมถอนเงินจากธนาคารในสาขาที่ตนเองฝากไว้
อีกสิ่งหนึ่งที่มีการใช้ ได้แก่ Charge Coins โดยเชื่อว่ามีการเริ่มต้นการใช้เมื่อปี ค.ศ. 1865 โดยครั้งแรกทำมาจากเซลลูลอยด์ และเปลี่ยนมาเป็นทองแดง อลูมิเนียม เหล็กกล้า หรือโลหะขาว ซึ่งมีขนาดที่แตกต่างกันไป โดยส่วนใหญ่จะเป็นทรงกลม แต่บางครั้งก็จะพบในทรงสามเหลี่ยมหรือรูปร่างอื่นด้วย ซึ่งผู้ออกเหรียญดังกล่าว ส่วนใหญ่ได้แก่ห้างสรรพสินค้า โดยมีหมายเลขของลูกค้าและสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ค้า เช่น ตราสัญลักษณ์ห้างสรรพสินค้า ปรากฏอยู่ โดย Charge Plate ยุติการใช้ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1960
บัตรธนาคาร และการก้าวเข้ามาของบัตรเครดิต
บัตรธนาคารใบแรกเกิดขึ้นโดยนายธนาคาร John Biggins ในเมืองบรุ๊คลิน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1946 โดยเป็นบัตรกระดาษแข็งใช้ชื่อว่า Charg-it และเมื่อผู้ใช้บริการใช้บัตรของ Biggins เพื่อการซื้อสินค้า ใบเสร็จรับเงินต่าง ๆ จะถูกส่งมาที่ธนาคารของ Biggins โดยตรงและชำระเงินแทนผู้ถือบัตร จากนั้นธนาคารของ Biggins ก็จะเก็บเงินจากลูกค้าต่อไป แต่มีอุปสรรคตรงที่การซื้อสินค้าจะต้องซื้อจากในท้องถิ่น และลูกค้าจะต้องเปิดบัญชีธนาคารของ Biggins ด้วย
บัตรเครดิตที่ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของโลกคือบัตร The Diners Club โดยมีต้นกำเนิดจาก Frank McNamara เมื่อปี ค.ศ. 1949 ในขณะที่เขานัดทานอาหารที่ร้านอาหารในนิวยอร์กแต่ลืมเอากระเป๋าเงินมา จึงเกิดความคิดในการหาวิธีอื่น ๆ เพื่อการชำระเงิน และร่วมกับ Ralph Schnider ในการคิดค้นบัตรกระดาษแข็งที่ใช้เพื่อการซื้อสินค้าในปี ค.ศ. 1950 ในชื่อ The Diners Club ซึ่งมีร้านอาหารในนิวยอร์ก 27 ร้านที่เริ่มต้นการใช้บัตรดังกล่าว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการใช้จ่ายในหมวดการท่องเที่ยวและความบันเทิงเป็น หลัก และเพียงปีเดียวก็มีลูกค้าที่ใช้มากกว่า 20,000 ราย จึงทำให้กลายเป็นบัตรเครดิตใบแรกที่ีการใช้งานอย่างแพร่หลาย แต่ยังคงต้องจ่ายเงินค่าใช้บริการกับทาง The Diners Club เต็มจำนวนทุกสิ้นเดือนเท่านั้น
บัตร American Express และการเกิดของบัตรเครดิตแบบพลาสติก
American Express (AMex) เริ่มก่อตั้งในปี ค.ศ. 1850 ซึ่งแต่เดิมเป็นบริษัทที่รับขนส่งพัสดุภัณฑ์ เงิน และตั๋วเดินทาง และก้าวเข้ามาเป็นผู้ให้บริการบัตรเครดิตในปี ค.ศ. 1958 โดยเริ่มต้นจากบัตรสีม่วง และเป็นบริษัทแรกที่จัดทำบัตรเครดิตในรูปแบบพลาสติกเมื่อปี ค.ศ. 1959 เพื่อเป้าหมายในการเดินทางและบันเทิงเป็นหลัก ก่อนที่จะกลายมาเป็นบัตรที่ใช้ชำระค่าสินค้าและบริการเต็มรูปแบบในช่วง ทศวรรษที่ 1990 และเป็นบริษัทที่เริ่มคิดเงินจากบัตรเครดิตเป็นเงินสกุลท้องถิ่นในประเทศ ต่าง ๆ และในปี ค.ศ. 1959 ทั้ง The Diners Club และ American Express ก็ยังได้เริ่มระบบการชำระเงินขั้นต่ำจากการใช้จ่ายบัตรเครดิตเป็นรายเดือน อีกด้วย
Visa และ Mastercard 2 ยักษ์ใหญ่ในโลกของบัตรเครดิต
บัตรเครดิตที่สามารถใช้ชำระค่าสินค้าและบริการได้ทุกประเภท เฉกเช่นบัตรเครดิตที่เราใช้บริการอยู่ทุกวันนี้ เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1966 โดย Bank of America ซึ่งก่อตั้ง?BankAmerica Service Corporation และใช้ชื่อบัตรของตนเองว่า BankAmericard ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น Visa ในภายหลัง
ในปีเดียวกันได้มีการก่อตั้งระบบบัตรเครดิตแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมข้อมูลจากการรวมตัวกันของธนาคารอื่น ๆ นอกจาก Bank of America ที่ออกบัตรเครดิตของตนเองภายใต้ชื่อ?InterBank Card Association ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น Mastercard Worldwide และตั้งชื่อบัตรของตนเองว่า Mastercharge ก่อนจะใช้ชื่อ Mastercard ในภายหลัง และจากจุดกำเนิดนี้ก็ทำให้ Visa และ Mastercard เป็นคู่แข่งในทางตรงนับแต่นั้นเป็นต้นมา
การกำเนิดขึ้นของ Visa และ Mastercard ก่อให้เกิดการลดต้นทุนในด้านต่าง ๆ และสร้างระบบการจัดการของตนเอง ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้สถาบันการเงินขนาดเล็กที่ต้องการจะร่วมในระบบ เช่น ?การออกบัตร การเปิดบัญชีกับผู้ถือบัตร การจ่ายเงินคืนให้กับผู้ค้าที่รับบัตร รวมถึงระบบในการป้องกันการหลอกลวงและการใช้บัตรในทางมิชอบ การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินในระดับนานาชาติ และระบบการชี้ขาดเมื่อเกิดการโต้เถียงระหว่างสมาชิก
ต้นกำเนิดของบัตรเครดิตในประเทศไทย
สำหรับประเทศไทยเริ่มมีการใช้บัตรเครดิตครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1969 โดย The Diners Club จากนั้น Visa จึงเริ่มต้นเปิดให้บริการในปี ค.ศ. 1970 และธนาคารกสิกรไทย เป็นธนาคารแรกที่ออกบัตรเครดิต โดยเริ่มต้นจากการร่วมมือกับธนาคารศรีนครในปี ค.ศ. 1972 รับสิทธิเป็นตัวแทนของ Mastercard และ Visa ในปี ค.ศ. 1974 และ 1979 ตามลำดับ และออกบัตรเครดิตของตนเองในชื่อ “บัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย” เป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1978
ปัจจุบันและอนาคตของบัตรเครดิต
เป็นที่ทราบกันดีกว่าปัจจุบันบัตรเครดิตได้แพร่หลายไปทั่วโลก ทุกประเทศ และมีการให้บริการทั้งธนาคารและห้างสรรพสินค้าที่ออกบัตรต่าง ๆ โดยการเสนอสิทธิประโยชน์และการแบ่งระดับลูกค้าไว้อย่างหลากหลาย ซึ่งในปัจจุบันมีเครือข่ายของบัตรเครดิตที่นอกเหนือจาก Visa และ Mastercard ที่สำคัญในระบบการธนาคารโลก เช่น Eurocard ของทวีปยุโรป JCB ของญี่ปุ่น และ Union Pay ของจีน เป็นต้น
เมื่อมีการใช้บัตรเครดิตอย่างแพร่หลาย ?บริษัทต่าง ๆ ซึ่งได้ออกแบบระบบป้องกันต่าง ๆ เพื่อป้องกันการใช้บัตรในทางที่ผิด ตั้งแต่การใส่โฮโลแกรมกันปลอมบนบัตร ใช้เครื่องรูดและออกสลิปแบบอิเล็กทรอนิกส์พร้อมการมีแถบข้อมูลแม่เหล็กและ ลายเซ็นหลังบัตร การใส่ชิพเพื่อเข้ารหัสข้อมูล การเปิดให้ผู้ค้าทั่วไปใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเป็นเครื่องรับบัตรเครดิต ผ่านอุปกรณ์เสริม การออกระบบ One-Time Password ยืนยันการใช้จ่ายเงินผ่านระบบออนไลน์ จนไปถึงการใช้่ระบบบัตรเครดิตเสมือนบนโทรศัพท์มือถือที่ผสมผสานเทคโนโลยี เครือข่ายไร้สายระยะใกล้ (Near Field Communication) เช่น Visa Paywave และ Masterpass และการใช้การอ่านลายนิ้วมือบนบัตรเพื่อการยืนยันตัวตนการใช้งาน
แม้การใช้บัตรเครดิตเพื่อการซื้อสินค้าและบริการทั้งรูปแบบที่จับต้องได้ และบนโลกออนไลน์จะยังมีอุปสรรคและไม่มีการใช้อย่างแพร่หลายในประเทศที่มีการ ใช้เงินสดเป็นหลักและร้านค้าไม่ต้องการที่จะแบกรับค่าธรรมเนียมไว้กับตนเอง ในการรับชำระผ่านบัตรเครดิต แต่ผู้ให้บริการบัตรเครดิตทั้งหน้าเก่าต่าง ๆ และรายใหม่อย่างเช่น Paypal และ Square ก็จะต้องสรรหารูปแบบและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อดึงลูกค้าให้ใช้บริการ โดยผ่านแนวคิดที่นำเสนอความสะดวกสบายจากบริษัทต่าง ๆ ที่พยายามใช้สื่อประชาสัมพันธ์ให้เมืองและผู้คนในประเทศต่าง ๆ กลายมาเป็นเป็นสังคมไร้เงินสดอย่างแน่นอน
Cr: http://www.thecardz.com/2013/04/credit-card-history-origin/